วันอังคารที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

อาหารเป็นพิษ สารพิษ และสารเจือปนในอาหาร

เอกสารประกอบการบรรยายหัวข้อ 
"อาหารเป็นพิษ สารพิษ  และสารเจือปนในอาหาร"

ผู้สอน กรกช กังวาลทัศน์

    ซูชิ, ญี่ปุ่น, เอเชีย, อาหาร, ดิบ, ซาชิมิ, สด, ม้วน 


       อาหารเป็นสิ่งที่เรากินทุกวัน ส่วนใหญ่เชื่อว่ากินได้โดยไม่เกิดพิษ คนเรากินอาหารเพราะต้องการสารอาหารเพื่อเปลี่ยนเป็นพลังงาน และขับเคลื่อนกลไกการทำงานปกติของร่างกาย หรือกินอาหารเพราะกลิ่น หน้าตา และรสชาติของอาหารเหล่านั้น ที่ดึงดูดใจให้รับประทาน
       อาหารบางชนิดอาจก่อให้เกิดพิษต่อร่างกายมนุษย์  โดยพิษนั้นอาจจะเกิดจากตัวอาหารเอง ทั้งวัตถุดิบหลัก หรือส่วนประกอบที่เป็นสารเติมแต่งอื่นๆ หรือ อาจเกิดจากสิ่งปนเปื้อนที่ไม่ได้ตั้งใจให้มีในอาหารนั้นๆก็ได้ โดยพิษของอาหารอาจเกิดกับกลุ่มคนเฉพาะกลุ่มเท่านั้น เช่น การแพ้อาหารบางชนิด โดยที่บุคคลทั่วไปที่ไม่แพ้อาหารชนิดนั้นกินแล้วไม่เกิดพิษ พิษในอาหารอาจเกิดจากการกินอาหารในปริมาณมากๆแล้วเกิดพิษ โดยที่การกินอาหารในขนาดปกติไม่ก่อให้เกิดพิษก็ได้

จุดประสงค์ในการเรียน

  1. ทราบแหล่งของสารพิษจากอาหาร 
  2. สามารถป้องกันตนเองและบุคคลรอบข้างจากพิษจากอาหาร

แหล่งพิษจากอาหาร
พิษจากอาหารเกิดจากตัวอาหารเอง และส่วนประกอบที่เติมลงไป ได้แก่

  1. สัตว์ โรคที่ติดต่อจากสัตว์มาสู่มนุษย์ไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อม อาจติดต่อมาได้หลายทาง หนึ่งในนั้นคือการที่มนุษย์กินอาหารที่ใช้สัตว์เป็นวัตถุดิบ พิษจากสัตว์อาจเกิดจากตัวสัตว์เอง หรือสัตว์นั้นอาจปนเปื้อนไปด้วยเชื้อแบคทีเรีย พิษของแบคทีเรีย  ไวรัส และ พยาธิ ซึ่งสามารถอาศัยอยู่ในระบบทางเดินอาหารของสัตว์ที่ไม่ได้แสดงออกถึงอาการป่วย พิษอาจปนเปื้อนมากับสิ่งแวดล้อม หรือกระบวนการผลิตอาหารที่ไม่สะอาด หรือการเก็บรักษาอาหารที่ไม่ได้มาตรฐาน 
  2. พืช ผักผลไม้เป็นแหล่งของสารอาหาร วิตามิน เกลือแร่ และ สารประกอบที่ดีต่อร่างกาย แต่พืชผักบางชนิดอาจก่อให้เกิดพิษถ้ากินดิบ สามารถกำจัดพิษได้โดยนำไปผ่านกระบวนการปรุงที่เหมาะสม พืชบางชนิดทีสารที่มีฤทธิ์ antinutrition การรับประทานในปริมาณมากๆต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานก็อาจส่งผลทำให้ขาดสารอาหารที่จำเป็นต่อการทำงานของร่างกายได้ พืชบางชนิดทำให้โรคบางโรคกำเริบและมีอาการแย่ลง 
  3. แบคทีเรีย ไวรัส พยาธิ รา
  4. สารปรุงแต่งอาหาร (food additives) 
  5. สารเจือปนในอาหาร เช่น โลหะหนัก ยาฆ่าแมลง ยาสัตว์
ผู้เสี่ยงกับอาหารเป็นพิษ
  • เด็กเล็ก เนื่องจาก น้ำหนักน้อย จึงได้รับปริมาณพิษต่อน้ำหนักตัวสูงกว่าผู้ใหญ่ อีกทั้งระบบการทำลายสารพิษของร่างกายอาจยังไม่สมบูรณ์ 
  • คนที่ภูมิคุ้มกันต่ำ บุคคลที่มีสภาพร่างกายปกติ จะมีภูมิคุ้มกันที่สามารถต่อต้านเชื้อได้ระดับหนึ่ง เมื่อสัมผัสกับเชื้ออาจจะเกิดโรคแต่ไม่รุนแรง และหายจากโรคได้เองด้วยการรักษาปกติ ส่วนบุคคลที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ ไม่สามารถต้านเชื้อก่อโรคได้ ทำให้มีอาการรุนแรงกว่าคนทั่วไป และอาจลุกลามเกิดอันตรายถึงชีวิตได้
  • นักเดินทาง นักท่องเที่ยว ที่ไม่คุ้นชินกับเชื้อประจำถิ่น เมื่อรับประทานอาหารที่เตรียมอย่างไม่ถูกสุขลักษณะ ก็อาจทำให้เกิดการปนเปื้อนของเชื้อก่อโรคได้
  • หญิงตั้งครรภ์ ระหว่างตั้งครรภ์ ภูมิคุ้มกันจะต่ำลง และเมื่อสุขภาพร่างกายมารดาไม่แข็งแรงจากพิษของอาหาร ก็อาจส่งผลถึงทารกในครรภ์ด้วย
  • ผู้สูงอายุ และผู้ป่วยโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน ไต ผู้สูงอายุมักมีโรคประจำตัว มีสภาวะขาดสารอาหาร รวมทั้งภูมิคุ้มกันที่ลดลงตามวัย และร่างกายที่อ่อนแอ กลุ่มผู้มีอายุมากกว่า 65 ปีเป็นบุคคลกลุ่มที่เสียชีวิตจากอาหารเป็นพิษมากที่สุด
หลักการของอาหารเป็นพิษ
  • ทุกอย่างเป็นพิษได้หมด ขนาดที่ได้รับจะเป็นตัวกำหนดว่าจะเกิดพิษหรือไม่
  • สารพิษเกิดโดยธรรมชาติ การบริโภคเข้าไปในปริมาณต่ำๆนั้นหลีกเลี่ยงได้ยาก
  • โดยปกติแล้ว ความเสี่ยงของการเกิดพิษธรรมชาติจากอาหารนั้นต่ำมาก
พิษจากอาหารประเภทสัตว์

ตับสัตว์
  • หมี กวาง วัว แพะ กระต่าย
  • Bile acid กรดน้ำดี -> พิษกดประสาท -> ยากดประสาท บรรเทาปวด
  • ในอาหารมีปริมาณไม่มากพอที่จะก่อให้เกิดอันตราย แต่อย่าทานปริมาณมากๆ
Vitamin A
  • มีปริมาณมากในตับสัตว์ ปลา
  • ตับหมีขั้วโลก (ทานแค่ 1-2 ขีดก็เกิดพิษเฉียบพลันแล้ว)
ชีวพิษในอาหารประเภทสัตว์น้ำ

Tetrodotoxin

            
ภาพปลาปักเป้าจาก https://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/8/85/Pufferfish_komodo.jpg
  ภาพ blue ringed octopus จาก https://www.flickr.com/photos/125265709@N08/16219454856

- เป็นพิษต่อระบบประสาทอย่างรุนแรง (potent neurotoxin) 
- พบที่ผิวหนัง และ เครื่องใน (ตับ) ของปลาปักเป้า (Pufferfish, porcupine fish) และยังพบในปลาหมึก   กบ แมงดา ไข่แมงดา และกิ้งก่าบางชนิด
- พิษนี้ผลิตโดยแบคทีเรียที่อาศัยอยู่ในตัวของสัตว์ทะเล
- พิษ 1-2 มิลลิกรัม ทำให้ถึงตายได้  
- ปลาปักเป้า 40 กรัมอาจทำให้เกิดพิษ
- พิษทนความร้อนได้ การปรุงเนื้อปลาให้สุกไม่สามารถกำจัดพิษได้ 
- อาการพิษอาจเกิดอย่างรวดเร็วหลังรับประทานปลา หรือผ่านไปเป็นวันจึงมีอาการก็เป็นไปได้
- เนื่องจากพิษไปรบกวนการทำงานของระบบประสาท อาการเริ่มต้น คือ ปากชา ลิ้นชา เหมือนมีเข็มทิ่มแทง จากนั้นอาการชาจะลามไปที่อื่นๆ อาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย ปวดท้อง ทำให้เกิดการอัมพาตของกล้ามเนื้อ รวมทั้งกล้ามเนื้อที่เกี่ยวข้องกับการหายใจ หัวใจทำงานผิดปกติ และทำให้เสียชีวิตได้ 
- ถ้ามีอาการสงสัยว่าเกิดจากพิษ tetrodotoxin ให้รีบส่งโรงพยาบาล ถ้าอาการไม่รุนแรง ได้รับพิษปริมาณไม่มากสามารถรักษาให้หายได้ ผู้ได้รับพิษสามารถฟื้นตัวได้เร็ว ส่วนผู้ที่มีอาการรุนแรงอาจใช้เวลาฟื้นตัวเป็นสัปดาห์จึงกลับมาเป็นปกติ  

อ่านเพิ่มเติมได้ที่ 

========================================================================
ลักษณะของเนื้อปลาปักเป้า 
ที่มา pantip.com ซึ่งแชร์ภาพจากกรมประมง
========================================================================

Ciguatoxin: ciguatera fish poisoning

พิษนี้พบในปลาน้ำตื้นเขตร้อน สังเคราะห์จากสาหร่ายชนิดหนึ่ง ซึ่งสะสมในสัตว์น้ำประเภทหอย และเนื้อปลา โดยพิษมาตามห่วงโซ่อาหาร
อาการพิษมีทั้งพิษของระบบประสาท ทางเดินอาหาร และ หัวใจและหลอดเลือด
- การรับประทานพิษเพียง 0.1 ไมโครกรัมก้เพียงพอที่จะทำให้เกิดพิษ
- เกิดอาการหลังรับประทานพิษ 1-48 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับปริมาณพิษ และบุคคลที่ได้รับพิษ อาจมีอาการทางระบบประสาท ได้แก่ ปวดกล้ามเนื้อ ปากชา ปลายมือปลายเท้าชา และทางเดินอาหาร ได้แก่ คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย ปวดท้อง 
- พิษทนความร้อน การปรุงสุก แช่แข็ง รมควัน หรือการดองเค็ม ไม่สามารถกำจัดพิษนี้ได้  

อ่านเพิ่มเติมได้ที่ http://www.boe.moph.go.th/fact/Ciquatera.htm

Scombroid Poisoning

เป็นสารพิษที่สร้างโดยเชื้อแบคทีเรียในตัวปลาหลังปลาตาย ซึ่งถ้าไม่แช่เย็นปลาทันที แบคทีเรียจะผลิตท๊อกซินจำนวนมาก
- อาการพิษเกิดจากสาร Histamine และสารอื่นที่คล้ายกัน histamine เป็นสารก่อภูมิแพ้ ดังนั้น อาการของผู้ได้รับพิษจะมีลักษณะคล้ายอาการแพ้ ได้แก่ ลมพิษ ผื่นคัน หายใจลำบาก ร้อนแดงทั้งผิวหน้าและลำตัว คลื่นไส้ อาเจียน

อาหารเป็นพิษ (food poisoning)
อาหารเป็นพิษ เกิดจากการรับประทานอาหารหรือน้ำดื่มที่ปนเปื้อนเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส ท๊อกซิน (ท๊อกซิน หรือ ชีวพิษ เป็นโปรตีนทำให้เกิดพิษ สร้างโดยเชื้อ) อาการหลักของอาหารเป็นพิษ ได้แก่ ท้องเสีย คลื่นไส้อาเจียน ปวดท้องเกร็ง ไม่สบายตัว ไข้ ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย ถ้ามีอาการรุนแรง หรือ มีภาวะขาดน้ำ อาจทำให้เกิด ชัก อัมพาต และเสียชีวิตได้ 

การปนเปื้อนของเชื้อในเนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์จากสัตว์







ภาพฟาร์มเลี้ยงสัตว์ ที่มา pixabay
ภาพโรงฆ่าสัตว์ ที่มา https://en.wikipedia.org/wiki/Meat_cutter#/media/File:Meat_processing-01.jpg
ภาพปรุงอาหาร ที่มา https://commons.wikimedia.org/wiki/File:Wok_cooking_and_the_heat_source_by_The_Pocket_in_Nanjing.jpg
     เนื้อหา ที่มา https://www.efsa.europa.eu/en/topics/topic/foodbornezoonoticdiseases 



อาหารเป็นพิษจากเชื้อแบคทีเรีย

Salmonella

- มักพบในเนื้อสัตว์ปรุงไม่สุก ไข่ดิบ นมไม่พาสเจอไรส์ และ เขียง หรือ บริเวณที่ปรุงอาหาร มีการปนเปื้อน
- อาการ ได้แก่ ไข้ ปวดท้อง ท้องเสีย คลื่นไส้อาเจียน ในคนปกติสุขภาพดีมักจะหายขาดภายใน 5-7 วัน แต่ให้ระวังในเด็ก คนสูงวัย คนภูมิคุ้มกันบกพร่อง เพราะอาจมีอาการรุนแรงทำให้เสียชีวิตได้
- เมื่ออาการกลับมาเป็นปกติแล้ว ก็อาจจะเป็นพาหะนำโรคได้
- ในคนสุขภาพดี โดยปกติแล้วจะหายเองโดยไม่ต้องใช้ยา
- ถ้ามีอาการรุนแรงอาจพิจารณาใช้ยาปฏิชีวนะ

วิธีป้องกันเชื้อ salmonella
- หลีกเลี่ยงเนื้อสัตว์ สัตว์ปีก ไข่ ที่ปรุงไม่สุกดี
- ไม่ควรใช้อุปกรณ์ปรุงอาหารดิบและสุกร่วมกัน
- ล้างมือบ่อยๆระหว่างประกอบอาหารล้างมือด้วยสบู่หลังสัมผัสสัตว์ สัตว์เลี้ยง อุนจิสัตว์เลี้ยง
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสสัตว์เลื้อยคลาน นก เด็ก หรือผู้มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง

Shigella
- มักติดต่อผ่านอุจจาระ
- เกิดในเมืองร้อน ประชากรมาก สุขอนามัยไม่ดี
- ถ่ายเป็นน้ำ ถ่ายเป็นเลือด คลื่นไส้อาเจียน ปวดท้องบิด
- หายเองได้ภายในเวลาประมาณ 3 วัน
- ถ้าอาการรุนแรง อาจใช้ยาปฎิชีวนะช่วย
- ล้างมือให้สะอาด โดยเฉพาะหลังเข้าห้องน้ำ หรือ เปลี่ยนผ้าอ้อม

E. Coli
- ปนเปื้อนในอาหาร เช่น นมไม่ผ่านการพาสเจอไรส์ เนื้อสัตว์ปรุงไม่สุกดี ว่ายน้ำหรือดื่มน้ำที่มีเชื้อปนเปื้อนอยู่
- สุขอนามัยไม่ดี -> ล้างมือหลังเข้าห้องน้ำทุกครั้ง
- เด็กที่ติดเชื้อ จะแพร่เชื้อในอุจจาระต่อไปอีก 2 สัปดาห์
- อุจจาระเป็นเลือด บางเคสถ่ายเหลวไม่มีเลือด ปวดเกร็งช่องท้อง บางเคสไม่มีอาการ
- ผู้ใหญ่ร่างกายปกติจะหายเองได้ภายใน 5-10 วัน
- ระวังในเด็กเล็ก และ ผู้สูงอายุ เชื้อ E. Coli O157:H7 หลังจากท้องเสีย 2-14 วัน มีอาการถ่ายเป็นเลือด อาเจียน ปวดท้อง ฉี่ขัด ฉี่เป็นเลือด บวม เมื่อยล้า ซีด อาจเป็นอาการของเม็ดเลือดแดงอุดไต -> ไตวาย

Vibrios
- มีหลายสายพันธุ์ อหิวาห์ (Vibrio cholerae ) เป็นหนึ่งในนี้ 
เชื้อ V. parahaemolyticus  เป็นสาเหตุอันดับ 1 ที่ทำให้เกิดโรคอาหารเป็นพิษสำหรับประเทศไทย
- แบคทีเรียเกิดในเขตร้อนใกล้ทะเล (ชอบน้ำเกลือ น้ำกร่อย) อยู่ในสัตว์ทะเล ก่อโรคเฉพาะในลำไส้คน และติดต่อโดยการเข้าบาดแผลที่สัมผัสน้ำทะเล หรือการกินอาหารทะเลปรุงไม่สุก เช่น หอยนางรม และสามารถติดต่อโดยการกินอาหารที่ปนเปื้อนเชื้อ
- ท้องเสีย ปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน เชื้อสายพันธุ์ที่ไม่รุนแรงจะไม่ถ่ายเป็นเลือด
- ในคนกลุ่มเสี่ยง (ภูมิต่ำ โรคตับเรื้อรัง) หนาวสั่น ไข้ ความดันต่ำ แผลพุพองที่ผิวหนัง มักติดเชื้อในกระแสเลือด อันตรายถึงชีวิต ตายได้ภายในสองวัน
- อหิวาห์มี cholera toxin ซึ่งปนเปื้อนจากอุจจาระได้ เพราะเชื้อมีชีวิตได้ดีในน้ำ เมื่อติดเชื้อจะมีอาการท้องเสียรุนแรง ถ่ายเป็นน้ำได้ถึงวันละ 10-12 ลิตร เกิดการสูญเสียน้ำและเกลือแร่อย่างหนัก ทำให้ระบบไหลเวียนเลือดล้มเหลวได้ ต้องชดเชยน้ำและเกลือแร่ ให้น้ำเกลือทางเส้นเลือดดำ
- กำจัดพิษได้ด้วยการให้ความร้อน เกลือเข้มข้นมากกว่า 10% และ กรด
- ทนความเย็น การแช่แข็งไม่สามารถกำจัดเชื้อได้

อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Vibrio parahaemolyticus  http://webdb.dmsc.moph.go.th/ifc_nih/a_nih_1_001c.asp?info_id=1134
อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Vibrio Cholerae 

S. aureus และ B. cereus
เป็นเชื้อที่สร้างท๊อกซินที่ไม่ถูกทำลายด้วยความร้อน และอาจมีอาการอาเจียนเด่นกว่าถ่ายท้องหลังได้รับเชื้อ 6-24 ชั่วโมง อาหารที่มักปนเปื้อนเชื้อ ได้แก่ ขนมจีน ข้าวผัด ขนมปัง แยม เยลลี่ เค้ก ซึ่งเป็นอาหารที่ถูกทิ้งไว้นานก่อนจะรับประทาน

Botulinum
- เป็นแบคทีเรียที่ไม่ชอบออกซิเจน จึงเจริญได้ดีในที่ปิด ไม่มีอากาศ เช่น ในอาหารกระป๋อง หน่อไม้ปี๊บ อาหารแพ็คสูญญากาศ 
- พิษเกิดจากท๊อกซินที่เชื้อสร้างขึ้น
- ได้รับเชื้อผ่านการรับประทาน หรือ เข้าทางแผล หรือ โตในลำไส้เด็กเล็ก
- พิษใช้รักษารอยเหี่ยวย่น -> botulinum toxin หรือ botox
- เมื่อทานเข้าไปจะทำให้ตาพร่า ตาลืมไม่ขึ้น พูดไม่ชัด กลืนไม่ได้ ปากแห้ง กล้ามเนื้ออัมพาต -> กล้ามเนื้อหายใจอัมพาต และเสียชีวิต
- เกิดอาการหลังจากได้รับพิษ 18-36 ชม.
- การรักษา เป็นการรักษาตามอาการ และใช้ antitoxin

อาหารเป็นพิษจากเชื้อไวรัส และพยาธิ
ไวรัส
- ไวรัสที่ทำให้ท้องเสีย เกิดจากรับประทานอาหารที่มีเชื้อ
- ทำให้ถ่ายเป็นน้ำ (ไม่มีมูกเลือด) คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง
- เกิดภายใน 12-48 ชม. เกิด 1-3 วัน
พยาธิ 
- Trichinosis เป็นพยาธิตัวกลม
- กินอาหารกึ่งดิบกึ่งสุก อยู่ในแหนมได้ 8 วัน
- เกิดทั้งในสัตว์เลี้ยงและสัตว์ป่า ตัวอยู่ในลำไส้ ไข่อยู่ที่กล้ามเนื้อ เช่น น่อง ลิ้น กระบังลม
- อาหารเป็นพิษ -> หน้าบวม หนังตาบวม เยื่อบุตาอักเสบ เลือดออกใต้หนังตา อ่อนเพลีย ปวดกล้ามเนื้อ พูด หายใจ กลืนลำบาก อาจมีโรคแทรกซ้อน ตายได้

ไวรัสตับอักเสบ viral hepatitis
- โรคตับอักเสบ เกิดจากไวรัส มีหลายสายพันธุ์
- Hep A แพร่ทางอาหารและน้ำที่ปนเปื้อนอุจจาระจากคนที่ติดเชื้อไวรัสนี้
- อาหารดิบ อาหารทะเล น้ำดื่ม ผัก ที่ปนเปื้อนเชื้อ
- อาหารปรุงสุก แต่สัมผัสโดนเชื้อ
- ท้องเสีย ฉี่สีเข้ม อุจจาระสีอ่อน ตัวเหลืองตาเหลือง ไข้ ปวดหัว คลื่นไส้ ปวดท้อง ไม่อยากอาหาร
- ฉีดวัคซีนป้องกันได้ตั้งแต่อายุ > 1 ปี

พิษจากเชื้อรา

Aflatoxin
- พบในอาหารทางการเกษตรตากแห้ง เช่น ถั่วลิสง ข้าวโพด พริกขี้หนู พริกชี้ฟ้า พริกไทย กระเทียม หอมแดง (น้ำพริกเผา ซีอิ๊ว น้ำจิ้มสะเต๊ะ)
- เป็นสารก่อมะเร็งที่ตับ ไต ระบบหายใจ ระบบทางเดินอาหาร ระบบประสาท ระบบสืบพันธุ์ และระบบภูมิคุ้มกัน
- กฎหมายกำหนดมีได้ไม่เกิน 20 ไมโครกรัม ต่ออาหาร 1 กิโลกรัม
- การได้รับพิษร่วมกับการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ การดื่มสุรา การรับประทานปลาดิบ (พยาธิใบไม้ตับ) ก็ยิ่งกระตุ้นมะเร็งตับ

การรักษาอาการของทางเดินอาหารเวลาอาหารเป็นพิษ
- อาการมักดีขึ้นเอง โดยไม่ต้องใช้ยาปฏิชีวนะ
- ให้ชดเชยน้ำและเกลือแร่ที่สูญเสียไปกับอุจจาระด้วยการดื่ม ORS
- ถ้าอาเจียนมาก จนไม่สามารถทานอะไรได้ ควรต้องได้รับการชดเชยน้ำและเกลือแร่ทางหลอดเลือดดำ (ไปให้น้ำเกลือที่รพ.)
- ผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงควรไปรพ. เช่น เด็กเล็ก คนชรา ฯลฯ
- รับประทานอาหารอ่อนๆย่อยง่าย งดการดื่มนม อาหารที่กระตุ้นการถ่ายท้อง

ชีวพิษในผักผลไม้

        ผัก ผลไม้ ส่วนใหญ่ให้สารอาหารที่ดีแก่สุขภาพ เช่น วิตามิน เกลือแร่ สารต้านอนุมูลอิสระ แต่ผักผลไม้บางชนิดมีชีวพิษที่เกิดตามธรรมชาติ เพื่อป้องกันการรุกรานของแมลง เชื้อรา เมื่อรับประทานเข้าไปดิบๆอาจก่อให้เกิดโรค หรืออาการไม่พึงประสงค์ ยกตัวอย่างเช่น

- ถั่ว (beans) มี phytohaemagglutinin ทำให้คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย ให้กำจัดพิษโดยการนำถั่วไปแช่น้ำแล้วต้ม หรือการบรรจุกระป๋อง (ผ่านความร้อนสูง) ก็สามารถนำมาทานได้อย่างปลอดภัย
- หัวดิบมันสำปะหลัง และ ยอดไผ่ มีสารพิษ cyanogenic glycoside เมื่อกินเข้าไปจะเปลี่ยนเป็น cyanide เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน ปวดหัว ถ้ารุนแรงอาจถึงตาย
- เมล็ดของผลไม้หลายชนิด ที่เนื้อกินได้ เช่น apples, apricots, pears, plums, prunes, cherries, peaches, etc ก็มี cyanogenic glycoside ซึ่งมีหลายชื่อเรียก prussic acid, hydrocyanic acid, hydrogen cyanide, or cyanide
- มันฝรั่งที่กำลังงอก หรือที่กำลังจะเน่า หรือที่เขียวอยู่ มี glycoalkaloids เป็นพิษที่ทนความร้อน หลังนำไปปรุงอาหารพิษก็ไม่สลายไป มีมากโดยเฉพาะบริเวณเขียวๆใต้เปลือก ตรงที่ต้นงอกออกมาจากหัว รสขม รับประทานเข้าไปทำให้แสบปาก ปวดท้อง ท้องเสีย คลื่นไส้อาเจียน 
- แปะก๊วย ถ้าทานดิบๆจะเกิดพาต่อระบบประสาท เช่น คลื่นไส้ ชักกะตุก หมดสติ เสียชีวิต การทำให้สุกสามารถลดพิษไปได้มาก แต่ก็ยังมีเคสที่ทานเมล็ดสุก 10-50 เม็ดแล้วเกิดพิษเฉียบพลัน
- ผักผลไม้ดิบบางชนิดยับยั้งการนำไอโอดีนเข้าสู่ร่างกาย เรียกว่า goitrogenic ได้แก่ spinach, cassava, peanuts, soybeans, strawberries, sweet potatoes, peaches, pears, และ ผักในตระกูล Brassica ได้แก่ broccoli, brussels sprouts, cabbage, canola, cauliflower, mustard greens, radishes, and rapeseed

พิษจากกระบวนการผลิตอาหาร

Heterocyclic aromatic amines 
- เป็นสารก่อมะเร็ง (ในสัตว์ทดลอง) เป็นกลุ่มของสาร ตัวอย่างคือ IQ, MeIQ, MeIQx and PhIP
- พบในเนื้อสัตว์ปรุงสุก และเกรวี่ หรือซอสที่ทำมาจากสิ่งที่ติดกระทะอยู่
- ยิ่งร้อน ยิ่งปรุงนาน ยิ่งมีสารนี้มาก และ การเผา หรือ ย่างบนกระทะทำให้เกิดสารนี้มากกว่าการปรุงอาหารด้วยการนึ่งหรืออบ

Polycyclic aromatic hydrocarbons
- สารก่อมะเร็งที่เกิดจากเผาไหม้ไม่สมบูรณ์ของไม้ ถ่านหิน และน้ำมัน
- พบได้ในเนื้อรมควัน ปลารมควัน ชีสรมควัน ชา กาแฟคั่ว
- โดนความร้อนสูง หรือโดนควันโดนตรง การย่างบนกระทะลดปริมาณของสารเหล่านี้ลง

Trans fatty acids
เป็นกรดไขมันที่เพิ่มความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือด เกิดจาก 
1 การหมักในกระเพาะอาหารสัตว์เคี้ยวเอื้อง -> เนื้อ มันสัตว์ นม เนย
2 กระบวนการผลิตไขมันจากพืช -> margarines, spreads, shortenings, frying oil

 วัตถุเจือปนในอาหาร (Food additives)
เป็นสารที่ตั้งใจใส่ในอาหารเพื่อประโยชน์ทางการผลิต บรรจุ เก็บรักษา ขนส่ง อาจมีคุณค่าทางโภชนาการหรือไม่ก็ได้ วัตถุเจือปนในอาหารมีมากกว่า > 400 ชนิด แบ่งเป็นประเภทตามจุดประสงค์ในการใช้ เช่น        
- วัตถุแต่งสี แต่งกลิ่น แต่งรส
- วัตถุกันเสีย หรือ สารกันบูด
- วัตถุกันหืน
- ปรับสภาพความเป็นกรดด่าง
วัตถุเจือปนที่ช่วยคงสภาพอาหาร
- วัตถุป้องกันการรวมตัวเป็นก้อน

ค่าของความปลอดภัยของวัตถุเจือปนในอาหาร

The no observed adverse-effect level or NOAEL
Acceptable daily intake (ADIs)
GRAS = Generally recognised as safe

ตัวอย่างของสารเจือปนในอาหาร

Saccharin
        หวานกว่าน้ำตาล 300 เท่า ขมปลายเล็กน้อย
        ทนความร้อน เก็บได้นาน
        เคยใช้แทนน้ำตาลสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน
        วิจัยในสัตว์พบว่าเป็นสารก่อมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ -> ถูกแบนไปหลายสิบปี
        พบว่าพิษเกิดกับบางสายพันธุ์ ในมนุษย์ไม่เกิดผลอะไร -> ปลดแบน
        Acute toxicity: 15-17 g/kg rat/mouse // 5.8 g/kg rabbit
        ADI = 2.5 mg/kg bw FAO/WHO

Cyclamate
        หวานกว่าน้ำตาล 30 เท่า ไม่ค่อยขมปลาย
        ทนความร้อน ถูกกว่า saccharin เคยใช้แทนน้ำตาลสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน
        วิจัยในสัตว์พบว่าเป็นสารก่อมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ -> ถูกแบนไปหลายสิบปี
        หลังแบนไป อีกหลายร้อยงานวิจัยไม่พบว่าก่อมะเร็ง
        ยังโดนแบนจาก FDA แต่ 40 ประเทศอนุญาติให้ใช้ได้

Aspartame
        หวานกว่าน้ำตาล 180 เท่า
        เป็น dipeptide: aspartic acid & phenylalanine
        ไม่ทนความร้อน เก็บได้ไม่ถึงปี ความหวานสัมพันธ์กับความเป็นกรดด่างและอุณหภูมิ
        ติดในฉลากให้ระวัง Phenylketonuria มีส่วนผสมของ Phenylalanine
        ADI = 40 mg/kg bw

BHA/BHT
        Butylated hydroxyanisole
        Butylated hydroxytoluene
        Antioxidant / antimicrobial
        สารกันหืน 0.02% ของปริมาณไขมัน
        ใช้ใส่ในซีเรียล ผงซุปแห้ง เนื้อ ปลา เบียร์ เครื่องสำอาง
        ADI = 0.3 mg/kg BHA // 0.125 mg/kg BHT

Sulfites
        Antioxidant / antimicrobial
        ป้องกันการเปลี่ยนสีของอาหาร
        ใส่ปริมาณน้อย เพราะมีรสไม่พึงประสงค์ -> เครื่องดื่มแอลกอฮอลล์
        ทำลายวิตามินบี 1 ในอาหาร แต่รักษา carotene
        <1% เกิดพิษได้
        ปวดท้อง ผื่นคันลมพิษ ช๊อค เสียชีวิต
        ห้ามใช้ในเนื้อ ผัก และ อาหารบางชนิด
        ADI = 0.7 mg/kg bw // EDI = 6-10 mg

MSG
        แต่งรส อูมามิ ค้นพบครั้งแรกที่ประเทศญี่ปุ่น
        เกลือโซเดียมของ glutamic acid ซึ่งเป็นอะมิโนแอซิดที่มีมากในร่างกาย และ อาหาร
        ชีส เนื้อ ถั่ว (peas) มะเขือเทศ เห็ด
        Chinese restaurant syndrome เกิดหลังจากรับประทาน 20 นาที มีอาการ 2 ชม.
        หน้าแดง ชา หายใจลำบาก มึนงง เหงื่อออก ปวดหัว คลื่นไส้ อาเจียน
        งานวิจัยไม่พบความเกี่ยวข้องกับ MSG
        งานวิจัยในสัตว์ไม่พบพิษแม้ว่าจะผสมในอาหารถึง 40%
        ADI ไม่มี เนื่องจากปลอดภัยมาก แต่คนที่แพ้/หอบหืดก็ต้องระวัง

==================================================================
 มาตรการป้องกัน 

การป้องกันและควบคุมโรคอาหารเป็นพิษทุกสาเหตุ มาตรการป้องกันโดยใช้กฎหลัก 10 ประการในการเตรียมอาหารที่ปลอดภัย ดังนี้
  1. เลือกอาหารที่ผ่านการเตรียมเป็นอย่างดี
  2. ปรุงอาหารที่สุก
  3. ควรกินอาหารที่สุกใหม่ๆ
  4. ระมัดระวังอาหารที่ปรุงสุกแล้วอย่าให้มีการปนเปื้อน
  5. อาหารที่ค้างมื้อต้องทำให้สุกใหม่ก่อนรับประทาน
  6. แยกอาหารดิบและอาหารสุก ให้ระมัดระวังการปนเปื้อน
  7. ล้างมือก่อนจับต้องอาหารเข้าสู่ปาก
  8. ให้พิถีพิถันเรื่องความสะอาดของห้องครัว
  9. เก็บอาหารให้ปลอดภัยจากแมลง หนู หรือสัตว์อื่นๆ
  10. ใช้น้ำสะอาด
(ข้อมูลจากเวปไซด์สำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข 
http://www.boe.moph.go.th/fact/Food_Poisoning.htm)

==============================================================
การเกิดและป้องกันโรค 
ลักษณะการเกิดอาหารเป็นพิษ มักเกิดในกลุ่มคนที่รับประทานอาหารร่มกัน เช่น ภายในครอบครัว งานเลี้ยง มักมีอาการของโรคโดยเฉียบพลัน พบมาในฤดูร้อน และ อุบัติการของการเกิดพิษสูงกว่าในกลุ่มที่รับประทานอาหารที่สงสัยว่ามีสารพิษ ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดโรคอาหารเป็นพิษคือ การเก็บอาหารค้างมื้อมนสภาวะที่ไม่สะอาด มีเชื้อโรคปนเปื้อน กรรมวิธีการผลิตไม่ถูกสุขลักษณะ ตลอดจนสุขวิทยาส่วนบุคคลของผู้ประกอบอาหารและผู้เสริฟอาหาร ดังนั้นการป้องกันการเกิดอาหารเป็นพิษ จึงควรปฏิบัติดังนี้
  1. ใช้ส่วนผสม ภาชนะ อุปกรณ์ ในการประกอบอาหารที่สะอาด
  2. ลดการสัมผัสกับอาหารโดยตรง ควรใช้อุปกรณ์คีบ หยิบ จับแทนการใช้มือ
  3. ผู้ประกอบอาหารต้องมีสุขภาพสมบูรณ์ ปราศจากโรคติดต่อ และมีสุขวิทยาส่วนบุคคล
  4. จัดเก็บอาหารในที่ปลอดภัยจากหนู แมลงพาหะ และเก็บในตู้เย็น เพื่อป้องกันการเพิ่มจำนวนเชื้อโรค
  5. ใช้ความร้อนให้เพียงพอและทั่วถึงในการประกอบอาหาร จะช่วยกำจัดเชื้อโรคได้
(ข้อมูลจากเวปไซด์ของศูนย์ข้อมูลพิษวิทยา 
http://webdb.dmsc.moph.go.th/ifc_toxic/a_tx_1_001c.asp?info_id=69)
==============================================================

ลิงค์เอกสารน่าอ่าน
http://www.kr.ac.th/tech/det48m2/f010.html
http://www.med.cmu.ac.th/dept/parasite/public/crypto.html
https://www.foodsafety.gov/poisoning/index.html

เอกสารอ้างอิง


  1. แนวทางการดูแลรักษา ผู้ป่วยโรคอุจจาระร่วงเฉียบพลันในผู้ใหญ่ สมาคมแพทย์ระบบทางเดินอาหารแห่งประเทศไทย เวปไซด์ http://www.gastrothai.net/guideline.php [1 July 2016]
  2. Püssa T, Principles of Food Toxicology, CRC Press; 1st edition

วันจันทร์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

วิธีการล็อคอินเข้าใช้ office365 สำหรับนักศึกษา

นักศึกษาธรรมศาสตร์สามารถใช้ Microsoft office แบบถูกลิขสิทธิ์ออนไลน์ และใช้ชื่อและรหัสเพื่อเข้าใช้ในการทำแบบสอบถามและ Quiz ในรายวิชาต่างๆในระบบการเรียนการสอนแบบ e-learning ได้

ขั้นตอนวิธีการเข้าใช้ Office 365 อย่างละเอียดสำหรับนักศึกษาธรรมศาสตร์

ลิงค์วีดีโอ: https://youtu.be/7U8RSOkyW3g



  1. เข้าเวปไซด์มหาวิทยาลัย www.tu.ac.th
  2. เลือก บริการ เลือก เทคโนโลยีสารสนเทศ 
  3. เลื่อนลงด้านล่าง เลือก user password
  4. เข้าสู่ระบบโดยชื่อผู้ใช้เป็นรหัสนักศึกษา
  5. เมื่อเข้าระบบเรียบร้อยแล้ว ให้คัดลอก อีเมลธรรมศาสตร์ ของนักศึกษา
  6. เข้า https://login.microsoftonline.com จากนั้น sign in โดยใช้อีเมลของนักศึกษา และ password ของมหาวิทยาลัย


วันจันทร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2559

หัวข้อ ผลิตภัณฑ์สำหรับเล็บ โดย กรกช กังวาลทัศน์

*****บทความนี้ใช้ประกอบการเรียนการสอนในหัวข้อผลิตภัณฑ์สำหรับเล็บ***** 
เป็นเพียงหนึ่งหัวข้อในรายวิชาเครื่องสำอางในชีวิตประจำวัน จึงอาจมีความรู้บางส่วนขาดหายไป
*****เนื่องจากได้จัดให้มีการเรียนการสอนในรุปแบบการบรรยายในคาบเรียนประกอบไปด้วย*****


จุดประสงค์
1. ทราบประเภทและส่วนประกอบพื้นฐานของผลิตภัณฑ์สำหรับเล็บ
2. ทราบถึงความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์สำหรับเล็บ
3. สามารถเลือกใช้ผลิตภัณฑ์สำหรับเล็บได้อย่างเหมาะสม
4. สามารถใช้ผลิตภัณฑ์สำหรับเล็บได้อย่างถูกวิธี 

บทนำ   

เล็บเป็นอวัยวะหนึ่งอยู่ปลายนิ้วมือและนิ้วเท้า โดยปกติจะมีลักษณะเป็นแผ่นเรียบ แข็งแต่ยืดหยุ่น มีสีขาวใส ส่วนปลายของเล็บที่เกินจากเนื้อส่วนปลายนิ้วออกมามีสีขาวขุ่น เมื่อสังเกตดูใกล้ๆจะพบว่าเล็บมีร่องตื้นๆตามยาว ซึ่งเมื่ออายุมากขึ้น ร่องก็จะอาจลึกขึ้นได้ ผิวหนังที่หุ้มเล็บควรมีสุขภาพดี ปราศจากรอยแดงอักเสบ การลอกของผิวหนัง แผล ตุ่ม หนอง หรือ ผิวหนังแข็งหนา เล็บมีหน้าที่หลายประการ ได้แก่ ปกป้องปลายนิ้วจากการกระแทก เพิ่มประสาทสัมผัส ใช้หยิบของชิ้นเล็กๆ ใช้เกา จิก หรือ ข่วน นอกจากนี้ ลักษณะภายนอกของเล็บ ได้แก่ รูปร่าง ความเรียบของผิวเล็บ สี และ ความหนาบาง สามารถบ่งบอกถึงสุขลักษณะและสุขภาพร่างกายโดยคร่าวของเจ้าของได้ อย่างไรก็ตามภาวะทุพโภชนาการ หรือ การขาดสารอาหารอาจไม่มีอาการแสดงออกทางเล็บเลยก็ได้ หรือ การที่เล็บมีลักษณะที่ผิดปกติไปก็ไม่สามารถบ่งชี้ได้ทันทีว่าร่างกายผิดปกติหรือไม่หรือผิดปกติในทางใดอย่างเฉพาะเจาะจง  

โครงสร้างของเล็บ

เล็บประกอบด้วยหลายโครงสร้าง ได้แก่
  1. Nail plate หรือ ส่วนของแผ่นเล็บที่มีความแข็ง เป็นส่วนที่ไม่มีชีวิต มีองค์ประกอบหลัก คือ โปรตีนชนิดหนึ่งที่เรียกว่า "เคราติน" (keratin) ซึ่งเป็นส่วนประกอบประมาณร้อยละ 80-90 ของเล็บ เคราตินเป็นองค์ประกอบเดียวกับเส้นผม และ โครงสร้างส่วนนอกของเขาสัตว์ และ นอแรด 
  2. Nail matrix เป็นส่วนที่อยู่บริเวณ nail root ในส่วนนี้จะประกอบด้วยเซลล์ keratinocytes ที่แบ่งตัวอย่างรวดเร็ว เซลล์เหล่านี้เต็มไปด้วยเคราติน ซึ่งจะถูกดันขึ้นมาเป็นเล็บที่งอกใหม่บริเวณโคนเล็บ โดยปกติเล็บจะยาวและงอกใหม่ตลอดเวลา เล็บมือจะงอกเร็วกว่าเล็บเท้า โดยเล็บมือจะงอกโดยเฉลี่ย 3 มิลลิเมตรต่อสัปดาห์ และ ใช้เวลางอกใหม่ทั้งเล็บรวม 4-6 สัปดาห์ ส่วนเล็บเท้าจะงอกโดยเฉลี่ย 1 มิลลิเมตรต่อสัปดาห์ และ ใช้เวลางอกใหม่ทั้งเล็บรวม 12-18 สัปดาห์
  3. Nail bed คือ เนื้อบริเวณใต้เล็บ เป็นส่วนผิวหนังที่มีชีวิต ประกอบด้วยชั้น epidermis และ dermis เป็นส่วนที่มีเส้นเลือดมาเลี้ยง 
  4. Nail folds คือ ผิวหนังที่คลุมปิดขอบเล็บ ทั้งที่ขั้วเล็บ (proximal nail fold) และด้านข้างเล็บ (lateral nail fold) ทำให้เล็บมีผิวหนังปกคลุมสามด้าน ส่วนอีกด้านเป็นด้านที่เล็บยื่นยาวออก
  5. Hyponychium ส่วนที่เล็บที่แยกออกจากผิวหนัง เล็บที่เกินจากส่วนนี้ไปสามารถตัดออกได้
  6. Cuticle คือ ผิวหนังใสที่ยื่นปกคลุมโคนเล็บ
  7. Lunula คือ บริเวณที่มีสีขาวรูปครึ่งวงกลม บริเวณโคนเล็บ เป็นส่วนของ nail matrix ที่มองเห็น


File:507 Nails.jpg
ภาพกายวิภาคของเล็บ จาก https://commons.wikimedia.org/wiki/File:507_Nails.jpg

เล็บที่สะอาดบ่งบอกถึงสุขอนามัยและการรักษาความสะอาดของเจ้าของ ลักษณะของเล็บที่ดี คือ เล็บที่เรียบ เงา ใส nail plate ติดกับ nail bed ร่องเล็บไม่มีสิ่งสกปรกติดอยู่ cuticle บางใส ติดกับตัวเล็บ ขอบเล็บเรียบ เล็บควรตัดให้เรียบร้อยเป็นรูปทรง ไม่ว่าจะตัดให้โค้งมนตามรอยเล็บ หรือตัดเป็นเหลี่ยม

ความผิดปกติของเล็บ

เล็บที่มีลักษณะที่ผิดปกติไปอาจบ่งบอกถึงโรคของเล็บ โรคของเล็บที่พบบ่อย คือ "เชื้อราที่เล็บ" ซึ่งจะสังเกตได้จากการที่สีของเนื้อเล็บเปลี่ยนไป ผิวเล็บหยาบและขรุขระ มีขอบเล็บกร่อน เล็บเปราะหักง่าย มักเกิดกับเล็บเท้ามากกว่านิ้วมือ เนื่องจากเชื้อราจะเจริญเติบโตดีในที่อับชื้น อย่างเช่นภายในรองเท้า หรืออาจจะเกิดกับผู้ที่ต้องสัมผัสกับความชื้นเป็นเวลานาน เช่น ผู้ที่มีอาชีพล้างจาน เป็นต้น 

"ดอกเล็บ" คือ ลักษณะเป็นจุดสีขาวหรือเส้นสั้นๆสีขาวปรากฎขึ้นในเนื้อเล็บ สภาวะนี้ศัพท์ทางการแพทย์เรียกว่า "Leukonychia punctata" สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากการบาดเจ็บระหว่างกระบวนการสร้างเล็บ เช่น การกัดเล็บ การแคะเล็บ เป็นต้น หรืออีกกรณีหนึ่งคือการที่เล็บถูกกระทบกระแทกทำให้มีฟองอากาศติดอยู่ใต้เล็บ การมีดอกเล็บส่วนใหญ่ไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกาย และมักไม่ได้เกิดจากการขาดสารอาหารใดๆ เมื่อเล็บงอกจะดันดอกเล็บให้หายไปเอง ซึ่งกระบวนการงอกของมักใช้เวลาหลายเดือน

ภาพดอกเล็บ จาก https://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/4/48/Leukonychia.jpg

Leukonychia หรือ สภาพของเล็บที่มีสีขาวประเภทอื่นๆ เช่น การที่เล็บมีสีขาวทั่วทั้งเล็บ มีสีขาวเป็นบางส่วน หรือ มีลักษณะเป็นแถบคาดเล็บ ไม่ว่าจะเป็นแนวขวางหรือแนวดิ่ง อาจบ่งบอกถึงพยาธิสภาพของร่างกายของเจ้าของเล็บนั้น เช่น ภาวะโปรตีนในเลือดต่ำ โรคตับ หรือ โรคหัวใจ เป็นต้น  

ผิวหนังรอบเล็บอาจลอกเป็นแผ่น เกิดการอักเสบ บวม แดง หรือเกิดหนองจากการติดเชื้อ

ยังมีความผิดปกติของเล็บในรูปแบบอื่นๆอีกมากมายซึ่งไม่ได้กล่าวถึงในบทความนี้ 

===============================
ผลิตภัณฑ์สำหรับเล็บ
===============================
ทาเล็บ, ทาสี, เล็บเท้า, เล็บ, ศีลธรรม, ทำเล็บมือมือ, เดซี่, ดอกไม้, ลายนิ้วมือ, เล็บ, เคลือบ, ที่น่ารัก
ทาเล็บ, มือ, เล็บ, ทำเล็บมือ, การแต่งงาน, จับมือ
===============================
เมื่อกล่าวถึงผลิตภัณฑ์สำหรับเล็บ ผลิตภัณฑ์ที่น่าจะนึกถึงเป็นอันดับแรกคือ "ยาทาเล็บ" เป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้ทาบนเล็บเพื่อเพิ่มความแข็งแรง หรือเติมสีให้แก่เล็บให้มีความสวยงาม นอกจากนี้ยังมีผลิตภัณฑ์สำหรับดูแลเล็บประเภทอื่นๆอีก ดูจากคลิปวีดีโอ

คลิปวีดีโอขั้นตอนการดูแลเล็บ


ลิงค์คลิปวีดีโอ https://www.youtube.com/watch?v=8SZJO1Jhr4o 

ยาทาเล็บ
คุณลักษณะของยาทาเล็บ
  1. กันน้ำ
  2. เนื้อเงาหรือเนื้อด้าน สีไม่เปลี่ยนเมื่อทาบนเล็บ หรือเปลี่ยนสีเมื่อทาบนเล็บ
  3. สีติดเล็บได้ดี แต่ติดผิวหนังไม่ดี
  4. แห้งเร็วพอสมควร
  5. มีความยืดหยุ่น ทนต่อการขูดขีด กระเทาะล่อน
  6. สามารถทาเป็นชั้นบางได้

ส่วนประกอบหลักของยาทาเล็บ

1. Film former หรือ สารก่อฟิล์ม ทำหน้าที่สร้างฟิลม์เคลือบเล็บ 
"Nitrocellulose" เป็นสารก่อฟิลม์ที่นิยมใช้มากที่สุด มีคุณสมบัติหลายข้อ เช่น ผสมเข้ากับสีได้ดี ได้ฟิลม์ที่แข็งแรง เป็นต้น แต่ก็มีข้อเสีย เช่น ฟิล์มที่ได้มีความเปราะ และ ไม่เงางาม เกิดการหดตัวมาก ทำให้ไม่ติดผิวเล็บ ติดไฟง่าย และ ต้องละลายในแอลกอฮอลล์ 
สารก่อฟิล์มอื่นๆ ได้แก่ Cellulose acetate และอนุพันธุ์, Polyurethanes, Polyamides, Polyesters, Adipic acid/Neopentyl glycol/trimellitic anhydride copolymer
2. Film modifier ทำหน้าที่ทำให้ฟิลม์ติดเล็บ เพิ่มความเงางาม
"Toluene sulphonamide /formaldehyde resin" หรือ TSFR เป็นสารที่นิยมใช้ สารอื่นๆ ได้แก่ toluene/sulphonamide/expoxy resin / polyester sucrose benzoate / polyester / acrylic ester oligomers / SAIB / arylsulfonyl methanes / glyceryl tribenzoate
3. Plasticizers ทำหน้าที่เพิ่มความยืดหยุ่นให้ผิลม์แห้งเร็ว 
dibutyl phthalate / camphor / acetyl tributyl citrate (biodegradable, low toxicity) / castor oil / glyceryl tribenzoate / acetyl tribenzoate citrate PPG-2 dibenzoate / glycerol / citrate esters / triacetin / polyether  urethane
4. Solvents/Diluents เป็นตัวทำละลาย
Alkyl esters เช่น ethyl acetate, amyl acetate, n-butyl acetate / Glycerol ethers เช่น propylene glycol monomethyl ether / Aliphatic alcohols เช่น ethanol, isopropanol, butanol / Toluene
5. Viscosity modifiers or thixotropic agents สารปรับความหนืด (หนืดในขวด แต่ไม่หนืดตอนทา): Stearalkonium hectorite (ไม่เงา จึงต้องเติม polymers เช่น nylon, acrylate copolymer เพื่อเพิ่มความเงา เพิ่มความแข็งแรง และป้องกันรอยขีดข่วน)  
6. Colour additives: สีที่ใช้ควรปลอดสารตะกั่ว และมีการรับรองความปลอดภัย สีที่ใช้ในยาทาเล็บจะเป็นประเภทไม่ละลายในตัวทำละลาย สีจะไม่ตกใส่เนื้อเล็บ มีลูกเหล็กใส่ในขวดเพื่อเขย่าให้สีกระจายตัวทั่วกัน: Guanine/Bismuth oxychloride and mica coated titanium dioxide ฉลากสีทาเล็บอาจเขียนองค์ประกอบของสีโดยใช้รหัส color index international หรือ CI ตามด้วยตัวเลข

ตัวอย่างส่วนประกอบของสีทาเล็บ




ความปลอดภัยของสีทาเล็บ

ถึงแม้เล็บจะเป็นส่วนที่มีความแข็ง อาจทำให้หลายๆคนคิดว่าสารเคมีจะซึมผ่านเล็บได้ยากมาก แต่ในความเป็นจริง สารต่างๆสามารถซึมผ่านเล็บได้มากกว่าผิวหนังถึง 100 เท่า ดังนั้นสารเคมีต่างๆที่อยู่ในยาทาเล็บก็มีโอกาสซึมเข้าสู่ร่างกายผ่านทางเล็บได้ เนื่องจากสีทาเล็บในท้องตลาดมีมากมายหลายชนิด ส่วนประกอบของสีทาเล็บแต่ละยี่ห้อก็มีความแตกต่างหลากหลายกันไป (ส่วนสีทาเล็บเถื่อนจะไม่สามารถทราบถึงความปลอดภัย เพราะอาจไม่แสดงส่วนประกอบเลย หรือ ส่วนประกอบที่แสดงอาจไม่เป็นความจริง) ส่วนประกอบของยาทาเล็บโดยทั่วไปแล้วถือว่ามีความปลอดภัย"ระดับหนึ่ง"สำหรับเจ้าของเล็บ (แต่ไม่ปลอดภัยเท่าไหร่สำหรับบุคคลที่ทำงานใน nail salon หรือเหล่าร้านรับเพ้นท์เล็บต่างๆ ที่ต้องสูดดมเอาสารเคมีเข้าสู่ร่างกายเป็นระยะเวลานานๆทุกๆวัน) แต่อาจปลอดภัยไม่เพียงพอสำหรับผู้บริโภคบางกลุ่ม จึงมีการผลิตสีทาเล็บที่ปราศจากสารเคมีบางชนิด ซึ่งมักเป็นสารก่อภูมิแพ้ผิวหนัง หรือ สารก่อมะเร็ง และ เขียนไว้ในฉลากดังนี้

3-free: ปราศจากสารเคมี 3 ชนิด ได้แก่ formaldehyde (ก่อมะเร็ง แพ้ผิวหนัง), toluene (สงสัยว่ามีผลต่อระบบสืบพันธุ์) and dibutyl phthalate (สงสัยว่ามีผลต่อการแพ้ทางผิวหนัง)
4-free: ปราศจากสารเคมี 4 ชนิด นอกจาก 3-free ยังไม่เติม formaldehyde resin (มี formaldehyde ปนอยู่เล็กน้อย)
5-free: ปราศจากสารเคมี 5 ชนิด นอกเหนือจาก 4-free คือ camphor (สงสัยว่ามีผลต่อการแพ้ทางผิวหนัง)

อย่างไรก็ตาม ข้อมูลจากเวปไซด์ webmd.com กล่าวว่า สีทาเล็บบางยี่ห้อได้ใส่ในฉลากว่าปราศจากสารเคมี แต่ในความจริงยังตรวจพบสารเคมีเหล่านั้น ในทางกลับกัน สีทาเล็บบางยี่ห้อไม่ได้ใส่ในฉลากว่าปราศจากสารเคมี แต่เมื่อตรวจสอบกลับไม่พบสารเคมีเลย 

ผลิตภัณฑ์สำหรับเล็บอื่นๆ และส่วนประกอบสำคัญ

Base coat / Top coat ส่วนประกอบคล้ายยาทาเล็บทั่วไป แต่เน้นสาร Film forming และ UV-absorbing materials ฺ
Base coat ใช้ทารองพื้นก่อนทาสีเล็บ มักมีสีใส สีขุ่นขาวคล้ายนม หรือสีชมพูขุ่น จุดประสงค์เพื่อให้สีติดทน ทำให้ผิวเล็บเรียบ เพิ่มความแข็งแรงของเล็บ เพิ่มหรือรักษาความชุ่มชื้นของเล็บ หรือ อาจป้องกันสีจากยาทาเล็บตกใส่เล็บ
Top coat ใช้ทาทับสีทาเล็บ เป็นขั้นตอนสุดท้าย มักมีสีใส จุดประสงค์เพื่อเพิ่มความเงางาม หรือ ทำให้สีด้าน ทำให้สีติดทนนานขึ้น ทำให้สีทาเล็บแห้งเร็วขึ้น หรือ ป้องกันรอยขีดข่วน แตกหลุดล่อนของสี 

ยาทาเล็บสีด้าน (matte finish) อาจอยู่ในรูปสีทาเล็บ หรือ top coat ที่สามารถใช้ทาทับสีทาเล็บปกติให้กลายเป็นสีด้านได้ มักผสมสารทึบแสง เช่น silica ลงไปในสีทาเล็บ 

File:Matte nail polish.jpg
ภาพยาทาเล็บสีด้าน จาก https://commons.wikimedia.org/wiki/File:Matte_nail_polish.jpg


Magnetic nail polish เป็นยาทาเล็บผสมผงโลหะที่มีสีแตกต่างจากสียาทาเล็บ มาพร้อมกับอุปกรณ์แม่เหล็กลวดลายต่างๆ วิธีใช้ยาทาเล็บประเภทนี้เหมือนการใช้ยาทาเล็บทั่วไป เมื่อทาแล้วให้ใช้อุปกรณ์แม่เหล็กจ่อด้านบนของเล็บสักครู่โดยไม่สัมผัสกับเล็บ (ถ้าสัมผัสจะทำให้สีทาเล็บเลอะ) ผงโลหะจะเคลื่อนที่เข้าหาแนวแม่เหล็ก เกิดเป็นลวดลายขึ้นตามลวดลายของแม่เหล็ก จุดสำคัญของการใช้ยาทาเล็บประเภทนี้คือให้จ่ออุปกรณ์แม่เหล็กขณะที่สีทาเล็บยังไม่แห้ง ถ้าสีทาเล็บเริ่มแห้งแล้ว ผงโลหะจะเคลื่อนที่ในยาทาเล็บได้ยาก 
ดูคลิปวิธีใช้ magnetic nail polish 

ลิงค์คลิปวีดีโอ -> https://www.youtube.com/watch?v=vJO60TajtAE

Crackle nail polish: เป็นสีทาเล็บที่เมื่อทาทับบนสีทาเล็บปกติ จะแตกเป็นลายหนังจระเข้ ด้วยการผสม isopropyl alcohol, ethanol หรือ แอลกอฮอล์ชนิดอื่นๆ ลงในน้ำยาทาเล็บ เพื่อให้ผิวยาทาเล็บแห้งไม่พร้อมกันและลดแรงตึงผิว ทำให้เกิดรอยแตกของยาทาเล็บ ในสีทาเล็บปกติที่ไม่ใช้ crackle อาจพบว่ามีการผสมแอลกอฮอล์บ้าง แต่ใน crackle nail polish จะผสมในปริมาณมากกว่าปกติ
ดูคลิปวิธีใช้ crackle nail polish

ลิงค์คลิปวีดีโอ -> https://www.youtube.com/watch?v=XXI7wWc4haY

น้ำยาล้างเล็บ: ส่วนใหญ่ประกอบด้วยอะซิโตน (acetone) ผสมน้ำ อะซิโตนเป็นสารระเหยเร็ว ถ้าไม่ละลายน้ำจะระเหยหายไปเร็วมาก ยังไม่ทันจะละลายสีทาเล็บ เป็นสารไวไฟ มีกลิ่นฉุนแรงและทำให้ผิวแห้งหลังใช้ จึงมักผสมสารให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวหนัง (moisturizers) เนื่องจากอะซิโตนทำให้ผิวแห้ง ปัจจุบันมีจึงมีน้ำยาล้างเล็บสูตรปราศจากอะซิโตน (acetone free formula) ออกมาหลายสูตร ซึ่งมักประกอบด้วยตัวทำละลายในยาทาเล็บ เช่น ethyl acetate เป็นต้น ยาล้างเล็บสูตรปราศจากอะซิโตนอาจมีประสิทธิภาพด้อยกว่าสูตรอะซิโตน การล้างยาทาเล็บประเภทที่ผสมกากเพชรซึ่งล้างออกได้ยากด้วยอะซิโตนอยู่แล้ว การใช้น้ำยาล้างเล็บสูตรปราศจากอะซิโตนอาจล้างยาล้างเล็บกากเพชรไม่ออก 
Cuticle remover การขูด cuticle เป็นหนึ่งในขั้นตอนการทำเล็บ ขูดเพื่อให้เล็บดูยาวขึ้น ขยายพื้นที่การทาเล็บ (เนื่องจาก cuticle ไม่ติดสีทาเล็บ) cuticle เป็นผิวหนังส่วนที่ปกป้อง nail matrix การขูด cuticle ให้ขูดอย่างระวัง เนื่องจากถ้าขูดแรงเกินไปอาจทำให้ผิวเป็นแผลเลือดออก และทำให้เกิดการติดเชื้อได้ การใช้ที่ตัดเล็บหรือกรรไกรตัด cuticle เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำอย่างยิ่ง การขูด culticle นิยมใช้ผลิตภัณฑ์ cuticle remover มีลักษณะเป็นของเหลวหรือเจลที่เติมเบสแก่ลงไปเล็กน้อย เบสแก่ที่ใช้ เช่น sodium hydroxide หรือ potassium hydroxide เบสสามารถละลายโปรตีนได้ วิธีใช้คือทาทิ้งไว้ประมาณ 30 วินาที เมื่อผิวหนังอ่อนนุ่มลงแล้ว ให้ใช้ cuticle pusher ขูดผิวหนังบริเวณ cuticle ออก 
Quick dry nail drop มีลักษณะเป็นของเหลวใส หยดหรือทาลงบนเล็บที่ทายาทาเล็บไว้แล้วเพียงเล็กน้อย เพื่อเร่งให้ยาทาเล็บแห้งเร็วขึ้น มีส่วนประกอบเป็นซิลิโคน เช่น cyclomethicone หรือ dimethicone หรือ น้ำมันบางประเภท ที่ช่วยดูดซับตัวทำละลายในสีทาเล็บ โดยไม่ทำลายผิวฟิล์มของยาทาเล็บ จึงทำให้ยาทาเล็บแห้งเร็วขึ้น นอกจากนี้ยังให้สัมผัสเรียบลื่น ลดรอยขีดข่วนที่มักเกิดขึ้นระหว่างที่รอสีทาเล็บแห้งอีกด้วยด้วย
Cuticle oil ประกอบด้วยน้ำมันที่มีความหนืดต่ำ ซึ่งจะไม่ทำให้รู้สึกเหนียวเหนอะหนะ และกระจายตัวบนผิวได้ดี เช่น น้ำมันอัลมอนด์ โจโจบา วิตามินอี เป็นต้น เพื่อบำรุงผิว และรักษาความชุ่มชื้นให้แก่ผิวหนังบริเวณเล็บ

ไฟล์ powerpoint บรรยาย (อยู่ในระหว่างปรับปรุง)

เอกสารอ้างอิง

  1. Seshadri D, De D. Nails in nutritional deficiencies. Indian J Dermatol Venereol Leprol [serial online] 2012 [cited 2016 Jun 27];78:237-41. Available from: http://www.ijdvl.com/text.asp?2012/78/3/237/95437
  2. De Berker DAR, Andre J and Baran R. Nail biology and nail science. Int J Cosmet Sci 2007 [cited 2016 Jun 27]; 29(4):241-275. Available from: http://onlinelibrary.wiley.com/doi/10.1111/j.1467-2494.2007.00372.x/full 
  3. GUPCHUP GV, ZATZ JL. Structural characteristics and permeability properties of the human nail: A review J Cosmet Sci 1999; 50, 363-385 
  4. Is Your Nail Polish Toxic? [cited 2016 Jun 27]; Available from: http://www.webmd.com/beauty/nails/20120411/is-your-nail-polish-toxic?page=3
Flag Counter